สีของปัสสาวะที่เปลี่ยนไป เป็นเหมือนสัญญาณเตือนจากร่างกายที่บอกเราว่า กำลังเกิดความไม่สมดุลหรือความผิดปกติขึ้นภายใน ซึ่งสีปัสสาวะสามารถบอกโรคได้มากมาย ไม่ใช่แค่โรคเฉพาะของทางเดินปัสสาวะ อย่างไตหรือกระเพาะปัสสาวะเท่านั้น แต่ยังช่วยบอกปัญหาของร่างกายได้หลายระบบ เพราะของเสียเกือบทั้งหมดในตัวเรา ต้องถูกกรองผ่านไตก่อนออกจากร่างกาย
สีปัสสาวะบอกโรคอะไรได้มากมาย
ปัสสาวะสีใส
คนทั่วไปควรดื่มน้ำประมาณวันละ 2 ลิตร แต่หากดื่มน้ำมากเกินไป อย่างเช่น
- นักกีฬาที่ออกกำลังกายอย่างหนัก
- ผู้ป่วยที่ได้รับยารักษาโรคจิตเวช ที่กระตุ้นศูนย์ควบคุมความกระหาย
- คนที่พยายามลดน้ำหนัก ด้วยการดื่มน้ำเปล่าอย่างเดียว
- ความเชื่อผิด ๆ ที่พยายามดีท็อกซ์ร่างกายด้วยน้ำเปล่า
- กิจกรรมบางอย่าง ที่จัดให้มีการดื่มน้ำจำนวนมาก
การกระทำเหล่านี้จะทำให้เกลือแร่และสารประกอบต่าง ๆ ในเลือดถูกเจือจาง โดยเฉพาะโซเดียม ที่อาจทำให้เกิดอาการชักเกร็ง, กล้ามเนื้ออ่อนแรง, สมองบวมน้ำจนหมดสติ ซึ่งอาจเกิดอันตรายจนเสียชีวิตได้
ปัสสาวะสีเหลืองสว่าง
หากได้รับวิตามินมากเกินไป โดยเฉพาะวิตามินบี อาจทำให้ปัสสาวะมีสีเหลืองใส หรือสีคล้ายยางไม้ ซึ่งไม่ถือว่ามีอันตราย แต่ควรลดปริมาณลง เพราะคุณกำลังกินวิตามินเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ ซึ่งวิตามินบางชนิดไม่สามารถเก็บสะสมไว้ในร่างกายได้ จึงต้องขับออกทางไต
ปัสสาวะสีเหลืองเข้ม
- ถ้าปัสสาวะเป็นสีเหลืองเข้มขึ้น แต่ยังใส แปลว่าคุณดื่มน้ำน้อยเกินไป หรือร่างกายมีการสูญเสียน้ำมากไป เช่น หลังจากออกกำลังกายอย่างหนัก, อยู่กลางแดดร้อนเป็นเวลานาน, อาเจียนมาก, ท้องเสีย ซึ่งควรดื่มน้ำและเกลือแร่ทดแทน จนกว่าปัสสาวะจะมีสีเหลืองใสเป็นปกติ
- แต่หากปัสสาวะมีสีเหลืองเข้ม ขุ่น คล้ายนมข้น หรือปัสสาวะเป็นหนอง นั่นเป็นสีปัสสาวะบอกโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ ที่ค่อนข้างรุนแรง ซึ่งควรพบแพทย์เพื่อรักษา เพราะหากปล่อยไว้ อาจลุกลามทำให้ติดเชื้อในกระแสเลือดได้
ปัสสาวะสีส้ม
- ยาไรแฟมพิซิน (Rifampicin) ที่ใช้รักษาวัณโรค เป็นสาเหตุหนึ่งที่พบได้บ่อย
- ยาไพรีเดียม (Pyridium, Phenazopyridine) ที่ใช้รักษาอาการระคายเคืองทางเดินปัสสาวะ แต่มักถูกคนบางกลุ่มนำมาอ้างว่า เป็นยาล้างไต เพราะกินแล้วจะเห็นปัสสาวะกลายเป็นสีส้มแดง หมายความว่า ไตถูกล้างอย่างสะอาดแล้ว ซึ่งไม่เป็นความจริงเลย
- การกินอาหารที่มีเบต้าแคโรทีนสูง อย่างแครอท, มะละกอ, ผักโขม
- การได้รับวิตามินบีและซีมากเกินไป
ปัสสาวะสีแดงสด
ปัสสาวะเป็นเลือด (Hematuria) เป็นสีปัสสาวะบอกโรค ที่มีการระคายเคืองของทางเดินปัสสาวะ หรือเกิดความผิดปกติ ที่ทำให้อวัยวะภายในทางเดินปัสสาวะเสียหาย จนเกิดเลือดออก ซึ่งมักมีสาเหตุดังนี้
- ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ : หากมีการติดเชื้อที่รุนแรงของกระเพาะปัสสาวะ, ท่อปัสสาวะ มักทำให้มีปัสสาวะเป็นเลือดสดได้ อาจพบร่วมกับอาการปวดหน่วงท้องน้อย, มีไข้สูง, คลื่นไส้อาเจียน
- นิ่วในทางเดินปัสสาวะ : ทำให้มีเลือดสดปนในบางช่วงของการปัสสาวะ ซึ่งอาจเกิดร่วมกับอาการปวดบีบอย่างรุนแรงเป็นพัก ๆ แต่หากมีการระคายเคืองมาก อาจทำให้มีปัสสาวะเป็นสีแดงสดตลอดการปัสสาวะได้
- เนื้องอกในทางเดินปัสสาวะ : เนื้องอกของเนื้อไต, ต่อมลูกหมาก หรือกระเพาะปัสสาวะ มักทำให้มีเลือดสดออกได้ตลอดการปัสสาวะ
- เนื้องอกของอวัยวะข้างเคียง : มะเร็งมดลูก, มะเร็งลำไส้ใหญ่ อาจโตจนกดเบียดและทะลุเข้ามาในทางเดินปัสสาวะ จนทำให้มีปัสสาวะเป็นเลือดสดได้
- อุบัติเหตุ : การล้มกระแทกหรือถูกชนช่วงบั้นเอว ซึ่งเป็นตำแหน่งของไต หรือการล้มแล้วเกิดกระแทกบริเวณหว่างขาโดยตรง จะทำให้มีเลือดสดออกได้
ปัสสาวะสีแดงจางหรือสีชมพู
ปัสสาวะสีแดงคล้ายน้ำล้างเนื้อ, สีแดง หรือสีชมพู เกิดได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งใกล้เคียงกับการมีปัสสาวะเป็นเลือด
- ปัสสาวะสีแดงคล้ายน้ำล้างเนื้อ เป็นสีปัสสาวะบอกโรคไตอักเสบ ซึ่งอาจพบร่วมกับมีความดันโลหิตสูงขึ้น, หนังตาบวม, แขนขาบวม หรือบางครั้งอาจมีปัสสาวะเป็นฟอง ที่เกิดจากการมีโปรตีนรั่วร่วมด้วยได้
- ภาวะกล้ามเนื้อลายสลาย (Rhabdomyolysis) ที่พบได้ในคนที่เป็นโรคลมแดด (Heatstroke), ออกกำลังกายอย่างหนัก, ใช้ยาบางชนิด สามารถทำให้ปัสสาวะมีสีผิดปกติได้เช่นกัน
- ต่อมลูกหมากโต, ต่อมลูกหมากอักเสบ, ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ, มีนิ่วหรือเนื้องอกในทางเดินปัสสาวะ อาจพบว่า มีปัสสาวะสีแดงจางได้เหมือนกัน
ปัสสาวะสีโค้กหรือสีน้ำตาล
ปัสสาวะสีโค้ก, สีชา หรือสีน้ำตาล เป็นสีปัสสาวะบอกโรคเกี่ยวกับตับ, ทางเดินน้ำดี และเม็ดเลือดแดงเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งต้องพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม โดยมักเกิดจาก
- มีความบกพร่องของตับและทางเดินน้ำดี เช่น โรคตับอักเสบ, โรคตับแข็ง
- มีความผิดปกติเกี่ยวกับการแตกตัวของเม็ดเลือดแดง เช่น โรคพร่องเอนไซม์ จี-6-พีดี (G6PD Deficiency), โรคพอร์ฟิเรีย (Porphyria), โรคธาลัสซีเมีย, ปฏิกิริยาจากการได้รับเลือด
- การใช้ยาบางชนิด เช่น เมโทรนิดาโซล (Metronidazole) เพื่อรักษาสิวหรือภาวะติดเชื้อในช่องคลอด, การใช้ยาถ่าย, ยารักษามาลาเรีย
ปัสสาวะสีเขียวหรือสีฟ้า
ช่วงหนึ่งเคยมีข่าวดัง เรื่องยาล้างไตที่ทำให้ปัสสาวะกลายเป็นสีฟ้า โดยนำยาเมทิลีนบลู (Methylene Blue) ที่ใช้รักษาภาวะขาดออกซิเจน จากการที่มีเมทฮีโมโกลบินในเลือดสูง (Methemoglobinemia) มาหลอกให้คนหลงเชื่อว่า สามารถฟอกทำความสะอาดไตได้จริง
- ยาอะมิทริปไทลีน (Amitriptyline) ที่ใช้รักษาอาการซึมเศร้า
- ยาอินโดเมธาซิน (Indomethacin) ใช้รักษาอาการปวด
- Familial Benign Hypercalcemia (Blue Diaper Syndrome) โรคพันธุกรรมหายาก ที่ทำให้ลำไส้ดูดซึมกรดอะมิโนทริปโตเฟน (Tryptophan) ผิดปกติ
ปัสสาวะสีม่วง
- คนไข้ที่คาสายสวนปัสสาวะพร้อมกับถุงปัสสาวะไว้ จะเกิดภาวะที่ปัสสาวะในถุงกลายเป็นสีม่วงได้ เป็นสีปัสสาวะบอกโรค PUB Syndrome (Purple Urine Bag Syndrome) ซึ่งเกิดจากการที่แบคทีเรียในถุงปัสสาวะ ย่อยสลายโปรตีนและได้สีน้ำเงินและสีแดงออกมา จึงทำให้เห็นเป็นปัสสาวะสีม่วง
- ส่วนปัสสาวะสีม่วง จากข่าวที่เคยได้ยินเกี่ยวกับการตรวจสารเสพติดนั้น เป็นการนำปัสสาวะสีเหลืองปกติ ไปตรวจกับน้ำยาที่มีความจำเพาะ ซึ่งหากผลเป็นบวก จะเกิดปฏิกิริยากลายเป็นสีม่วง ซึ่งผู้เสพไม่ได้มีปัสสาวะสีม่วงเองตั้งแต่แรก
สาเหตุของปัสสาวะเปลี่ยนสีที่พบบ่อย
ดื่มน้ำน้อย
เพราะสีของปัสสาวะ เป็นตัวสะท้อนถึงความสมดุลของระดับน้ำในร่างกาย หากดื่มน้ำน้อยเกินไป นอกจากจะรู้สึกกระหายน้ำแล้ว ยังจะทำให้ปัสสาวะมีสีเหลืองเข้มขึ้นได้ เป็นสาเหตุที่ทำให้ปัสสาวะเปลี่ยนสีได้บ่อยมาก
- การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
อาการปัสสาวะเป็นเลือด, ปัสสาวะเป็นสีแดงจาง มักพบว่าเกิดจากการติดเชื้อของกระเพาะปัสสาวะ, ท่อปัสสาวะ, เนื้อไต ทำให้มีการระคายเคืองและอักเสบ จนทำให้มีเลือดปนออกมาในปัสสาวะได้ โดยเฉพาะในผู้หญิงที่มักมีการติดเชื้อได้ง่ายกว่าผู้ชาย ด้วยปัจจัยทางสรีระที่มีท่อปัสสาวะสั้นกว่า
- ตับทำงานบกพร่อง
ตับเป็นอวัยวะสำคัญในการเปลี่ยนบิลิรูบิน ที่ได้จากการสลายตัวของเม็ดเลือดแดง แต่หากเซลล์ตับมีความผิดปกติ จนทำให้เกิดการทำงานที่บกพร่อง หรือมีการอุดตันของทางเดินน้ำดี จะทำให้บิลิรูบินถูกขับออกทางไตเพิ่มขึ้น จึงทำให้มีปัสสาวะสีโค้กได้
- มีการสลายตัวของเม็ดเลือดแดงผิดปกติ
สีน้ำตาลเป็นสีปัสสาวะบอกโรคเลือด ที่เกี่ยวข้องกับการสลายตัวของเม็ดเลือดแดงได้อย่างดี ไม่ว่าจะเป็น G6PD Deficiency, Porphyria, Thalassemia รวมทั้งการติดเชื้อ, การใช้ยา หรือความผิดปกติใด ๆ ที่ทำให้เม็ดเลือดแดงแตกตัวได้ง่ายหรือมากกว่าปกติ
- การใช้ยา
ยาเป็นสารเคมีที่เรานำเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งเมื่อทำปฏิกิริยากับสารเคมีในร่างกายแล้ว สามารถทำให้สีของปัสสาวะเปลี่ยนแปลงได้หลายสี ขึ้นอยู่กับชนิดของสารประกอบที่มีอยู่ในยา
ไม่ใช่แค่สีของปัสสาวะ ที่บอกโรคได้
ปัสสาวะเป็นเลือด, ปัสสาวะสีแดงคล้ายน้ำล้างเนื้อ, ปัสสาวะสีโค้ก หรือปัสสาวะสีใด ๆ ที่เปลี่ยนไปจากปกติ ไม่ได้เป็นเพียงลักษณะเดียวที่บอกถึงความผิดปกติได้ ยังมีความขุ่น, การเกิดตะกอน, การมีผลึกปน, การเกิดฟอง หรือกลิ่นที่เปลี่ยนไป เป็นข้อมูลสำคัญที่ช่วยทำให้นึกถึงความผิดปกติได้อย่างเฉพาะเจาะจงมากขึ้น หากหมั่นสังเกตสัญญาณเตือนเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้พบความผิดปกติ ที่ร่างกายพยายามบอกเราได้เร็วขึ้น
สรุป
สีปัสสาวะบอกโรคได้มากมาย โดยมีความสัมพันธ์กับอวัยวะภายในร่างกายหลายระบบ สามารถบ่งบอกถึงความผิดปกติ ของทางเดินปัสสาวะได้โดยตรง เช่น การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ, การเกิดนิ่ว, มีเนื้องอก รวมทั้งยังสามารถบอกถึงความบกพร่อง ของระบบทางเดินอาหาร, ระบบไหลเวียนโลหิต, ระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ, ระบบสืบพันธุ์, ระบบสมดุลเกลือแร่ได้อีกด้วย ซึ่งหากสีปัสสาวะเปลี่ยนไปจากสีเหลืองปกติ ควรรีบปรึกษาแพทย์ เพื่อตรวจเพิ่มเติมและวินิจฉัยหาสาเหตุ จะได้ทำการรักษาได้อย่างทันท่วงที