ในปัจจุบันนี้ ใครที่มีที่ดินเปล่ารกร้างและไม่ได้นำมาทำให้เกิดประโยชน์ นอกจากจะเสียโอกาสในการเก็บเกี่ยวผลจากที่ดินที่มีแล้ว ยังจะต้องเสียภาษีแพงขึ้นอีกด้วย แต่หากจะนำที่ดินนั้นมาทำประโยชน์ ก็ไม่รู้จะทำอะไรที่ไม่ต้องลงทุนเม็ดเงินมากนัก หรือถ้าจะนำมาทำการเกษตร เจ้าของที่ดินหลายคนก็ไม่มีเวลาเพราะมีการงานอื่นที่จะต้องทำหรือที่ดินอยู่ไกลต้องใช้เวลาเดินทางได้ไม่คุ้มเสีย มีไอเดียหนึ่งที่สามารถทำที่ดินเปล่าให้มีค่า เป็นดอกผลเก็บเกี่ยวได้ในอนาคต นั่นก็คือ การปลูกไม้มีค่าเพื่อเป็นเงินเก็บไว้ยามเกษียณก็สามารถตัดขายเป็นเงินก้อนได้
มาดูข้อมูลเกี่ยวกับราคาไม้มีค่าที่จะทำให้หลายคนอยากที่จะปลูกไว้ตัดขายในอนาคตด้วยกัน 5 ไม้ที่ราคาแพงที่สุดในตอนนี้ และเราสามารถที่จะปลูกได้แล้ว เพราะรัฐบาลได้มีมติปลดล็อคให้ประชาชนปลูกไม้มีค่าหวงห้ามได้แล้ว และสามารถตัดขายได้ในอนาคตโดยไม่ผิดกฎหมาย 5 ดันดับไม้มีค่าได้แก่ สักทอง ประดู่ป่า ชิงชัง ตะเคียนทอง และพะยูง การตัดจะตัดได้ราคาเมื่อไม้โตมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณครึ่งเมตรขึ้นไป และยาวท่อนละ 2 เมตรขึ้นไป ซึ่งจะได้ราคาดังนี้คือ
ไม้พยูงมีราคาท่อนละ 1 ล้านบาท ไม้ประดู่ป่า มีราคาท่อนละ 8 แสนบาท เช่นเดียวกับไม้ชิงชัง และไม้ตะเคียนทองจะมีราคาเท่ากับไม้สักทอง คือราคาท่อนละ 5 แสนบาท นี่คือราคาที่ซื้อขายกันเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น หากมีการขายส่งไปยังต่างประเทศราคาของไม้ดังกล่าวทั้ง 5 ชนิดจะมีราคาถีบสูงขึ้นไปอีกถึง 3 เท่าทีเดียว นอกจากนั้นเศษของชิ้นไม้ยังขายได้ในราคาสูง คือกิโลกรัมละ 300-1,000 บาท ผู้ซื้อจะนำไปทำเป็นของชิ้นเล็ก ๆ เช่น เครื่องราง ชุดน้ำชา ส่งออกไปยังต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศจีนจะได้ราคาสูงมาก
วิธีการปลูกไม้มีค่าให้ดี ควรจะต้องปลูกไม้ที่โตเร็วควบคู่กันไป เพราะไม้เหล่านี้จะใช้ระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 10 ปีในการรอให้โตและตัดขายได้ ดังนั้นหากใครที่สนใจอยากจะปลูกไม้มีค่าไว้เป็นเงินเก็บ ให้ปลูกไม้โตไวเช่น ยูคาลิปตัส และไผ่ ที่ใช้เวลาปลูกเพียง 2-3 ปีก็ตัดขายได้ปลูกแซมปะปนไปด้วยก็จะทำให้มีรายได้ในระหว่างที่รอไม้มีค่าโต เมื่อตัดไม้อายุสั้นขายแล้วก็ยังปลูกรุ่นใหม่เพิ่มได้ และรอตัดเป็นช่วง ๆ ไปก็ได้เช่นกัน เป็นการใช้ที่ดินเปล่าทำเงินโดยไม่ต้องดูแลและลงแรงมากเลย